Showing posts with label Stock Market. Show all posts
Showing posts with label Stock Market. Show all posts

Wednesday, 22 February 2012

วิธีดู MOS : Margin of Sefty เพื่อการเลือกลงทุนในหุ้นที่ปลอดภัย

เชื่อว่าผู้ลงทุนหลายท่านคงเคยได้ยินชื่อของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffet) ซึ่งเป็น Value Investors ที่มีชื่อเสียงก้องโลก แต่มีอีกผู้หนึ่งที่ชื่อเสียงอาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูเท่ากับบัฟเฟตต์ แต่ถ้าเป็นผู้ลงทุนที่ลงทุนมาระยะเวลาหนึ่งย่อมต้องรู้จัก เบนจามิน เกรแฮม (Benjamin Graham) เพราะเขาผู้นี้เคยเป็นอาจารย์ของ บัฟเฟตต์ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเป็นหนึ่งในผู้ที่เป็นแม่แบบของการลงทุนแบบเน้นคุณค่ายุคบุกเบิก บัฟเฟตต์ยังประกาศว่าที่เขาโด่งดังมาได้ถึงทุกวันนี้ ก็มาจากพื้นฐานที่เกรแฮมได้ปูไว้และถูกนำมาประยุกต์อีกต่อหนึ่ง หลายคนยกย่องให้เกรแฮมเป็น “The Father of Financial Analysis and Value Investing” และ “Dean of Wall Street”

เกรแฮมเป็นผู้เขียนหนังสือขายดี 2 เล่มที่บัฟเฟตต์แนะนำว่าเป็นหนังสือที่ผู้ลงทุนทุกคนต้องอ่าน “The Intelligent Investor” และ “Security Analysis” หลักการลงทุนของเกรแฮมเน้นที่การวิเคราะห์ทางการเงินของบริษัทซึ่งลงทุนโดย พิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทและเงินปันผลที่ได้รับเป็นหลัก โดยสิ่งที่ผู้ลงทุนจดจำเกรแฮมได้ก็คือ ปรัชญาด้านการลงทุนของเขาที่เขามักจะพูดเสมอว่าประกอบขึ้นมาจากคำ 3 คำง่าย ๆ ก็คือ “Margin of Safety” - the price at which a share investment can be bought with minimal downside risk. หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัว ก็ได้ใจความว่า “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย = ราคาหุ้นที่สามารถเข้าซื้อได้โดยมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ”

หลักการลงทุนของเกรแฮมเพื่อให้เกิด Margin of Safety พอสรุปได้ดังนี้

  1. ลงทุนในบริษัทใหญ่ที่มียอดขายดี
  2. ลงทุนในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผล
  3. ลงทุนในบริษัทที่มีสภาพคล่องสูง มี Current Assets > (Current and Long term Debt) มี Cash Flow ดี และมีภาระหนี้ต่ำ
  4. ลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน คือมีความมั่นคงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
  5. เน้นการวิเคราะห์อัตราส่วนราคา (Price Multiples) โดยดูจากค่า P/E โดยต้องมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และค่า P/VB < 1.2 เท่า (Book Value = Total Assets – Total Liabilities)

แต่ถ้าจะให้อธิบาย Margin of Safety ให้ละเอียดขึ้นก็คือ การลงทุนด้วยการพิจารณาที่มูลค่าที่แท้จริงของกิจการว่ามีค่าเป็นเท่าไรต่อ หุ้น หากเราสามารถซื้อหุ้นนั้นได้ถูกกว่าค่านี้ ก็หมายถึงว่าสามารถซื้อได้ในราคาที่มีส่วนลด และเขาเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาของหุ้นจะต้องปรับไปสู่ราคาที่เหมาะสมของมันเสมอ และผู้ลงทุนก็สามารถขายหุ้นนั้นออกไปในราคาที่มีกำไรจากส่วนต่าง


เกรแฮมได้แนะนำวิธีการค้นหาหุ้นที่มี Margin of Safety ไว้โดยได้ตั้งเกณฑ์ไว้ 10 ข้อ และบริษัทใดก็ตามที่ตรงตามเกณฑ์ 7 จาก 10 ข้อนี้ถือว่าผ่าน โดยกฎเกณฑ์ข้อที่ 1-5 จะประเมินเรื่องความเสี่ยง ข้อที่ 6-8 จะดูในเรื่องความแข็งแกร่งทางการเงิน ข้อ 9-10 จะแสดงประวัติผลกำไรที่สม่ำเสมอ และต่อไปนี้คือเกณฑ์ 10 ข้อที่กล่าวถึงครับ

  1. มีอัตราส่วนผลกำไรต่อราคา หรือ E/P (ตรงข้ามกับ P/E) เป็น 2 เท่าของผลตอบแทนของหุ้นกู้ ระดับ AAA เช่น ถ้าหุ้นกู้ ระดับ AAA ให้ผลตอบแทน 6% อัตราส่วน ผลกำไรต่อราคา ก็ควรจะเป็น 12%
  2. มีค่า P/E ไม่สูงกว่า 40% ของค่าเฉลี่ยสูงสุดของหุ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  3. ให้ผลตอบแทนเงินปันผลเป็น 2 ใน 3 ของดอกเบี้ยหุ้นกู้ ระดับ AAA ซึ่งนี่ก็เป็นการตัดหุ้นที่ไม่จ่ายเงินปันผลหรือไม่มีกำไรออกโดยอัตโนมัติ
  4. มีราคาหุ้นเพียง 2 ใน 3 ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตนต่อหุ้น (Tangible Book Value per Share) สินทรัพย์ที่มีตัวตนจะหมายถึง เงินสด และสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักรอุปกรณ์ และ เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน สินทรัพย์ถาวร ที่บริษัทชำระเงินหมดแล้ว
  5. มีราคาหุ้นเพียง 2 ใน 3 ของมูลค่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิ
  6. มีหนี้สินทั้งหมดในจำนวนที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตน
  7. มีอัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio)>= 2 เพราะเป็นตัววัดสภาพคล่อง หรือความสามารถในการชำระหนี้สินจากรายได้ของบริษัท
  8. มีหนี้สินรวมไม่สูงกว่ามูลค่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิ
  9. มีผลกำไรเพิ่มขึ้น 2 เท่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
  10. มีผลกำไรลดลงไม่เกิน 5% และไม่เกิน 2 ครั้งในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา

เกรแฮมบอกว่าถ้าสามารถค้นหาหุ้นที่มี Margin of Safety ได้ก็เหมือนกับว่าการลงทุนในครั้งนั้นๆ มีแต่จะสร้างกำไร และมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำอีกด้วย สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มก็อาจจะหาหนังสือของเกรแฮมมาอ่านเพิ่ม เติม และถ้าสนใจหนังสือของบัฟเฟตต์ทั้งภาคภาษาไทย และภาษาอังกฤษก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้านเซ็ทเทรด ดอท คอม ด้านหน้าอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือถ้าอยากอ่านข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลทั้ง 2 ก็ลองเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.buffettsecrets.com ซึ่งข้อมูลบางส่วนของบทความนี้ก็นำมาจากเว็บไซต์นี้เช่นกันครับ

Monday, 28 December 2009

Invester Strategy

กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบขาขึ้น ด้วยปริมาณการซื้อขายยังคงเบาบาง
เนื่องจากมีวันทำการเพียง 3 วัน โดยตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจาก แรงซื้อจากสถาบัน
ภายในประเทศ, กระแสข่าวการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ, การคาดการณ์การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยในปี 53
ตลอดจนการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยภาพรวมกลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เน้นกระจายการลงทุนใน
หุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการโดดเด่น และสอดคล้องกับปัจจัยบวกข้างต้น ได้แก่ HANA (กลุ่มอิเล็คทรอ
นิคส์), TASCO (กลุ่มวัสดุก่อสร้าง), CPALL (กลุ่มพาณิชย์), TISCO (กลุ่มธนาคารพาณิชย์) และ PTT
(กลุ่มพลังงาน)

พอร์ทการลงทุน
* ถือเงินสด 30%, หุ้น 70%
* แบ่งพอร์ทหุ้น(70%) ออกเป็น Buy and Hold 100%
* เพิ่ม PTT, TISCO, และ CPALL เข้าพอร์ท, ถือ HANA และ TASCO, ขายทำกำไร QH และ
SMT, ถอด RATCH ออกจากพอร์ทชั่วคราว
o เพิ่ม PTT เน้นถือลงทุน จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว และแรงซื้อของสถาบันภายในประเทศ
ที่มีแนวโน้มส่งผลบวกต่อราคาหุ้นในช่วงสั้น
o เพิ่ม TISCO เน้นถือลงทุน จากแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง และธุรกิจสินเชื่อเช่า
ซื้อรถยนต์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามทิศทางยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ
o เพิ่ม CPALL เน้นถือลงทุน แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/52 ขยายตัวต่อเนื่อง จากการ
เพิ่มสาขาและอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้าประเภทอาหาร
o ถือ HANA จากยอดคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มผล
ประกอบการไตรมาส 4/52 มีแนวโน้มโดดเด่นต่อเนื่อง
o ถือ TASCO เน้นถือลงทุน จากแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/52 ที่เติบโตโดดเด่น จากโรงกลั่นยาง
มะตอยในมาเลเซียและโครงการถนนไร้ฝุ่น
o ขายทำกำไร QH และ SMT หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา รอซื้อคืนเมื่ออ่อนตัว
o ถอด RATCH ออกจากพอร์ทชั่วคราว เนื่องจากระยะสั้นราคาหุ้นขาดปัจจัยกระตุ้น

Stock and Portfolio Idea

เพิ่ม PTT เน้นถือลงทุน
เราเลือก PTT เข้าพอร์ทเพื่อถือลงทุนอีกครั้ง เนื่องจากคาดว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัวตามราคา
น้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.4% wow เป็น 78.05 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่นัก
วิเคราะห์กลุ่มพลังงานของเราคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 15% จาก 65 เหรียญ/
บาร์เรลในปีนี้เป็น 75 เหรียญ/บาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และผล
กำไรให้กับบริษัท ขณะเดียวกันราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากว่า 20% (ทำต่ำสุดที่ 218 บาท) ในช่วง 2 เดือนที่
ผ่านมาได้ตอบรับกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปมากแล้ว และคาดว่าปัจจัยเสี่ยงต่างๆจะคลี่คลายไปในทางที่ดีในปี
หน้า ดังนั้นเราจึงเห็นว่าราคาหุ้นในช่วงนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนที่ดีโดยมีความเสี่ยงขาลงที่จำกัด (มี upside
จากราคาเป้าหมายที่ 306 บาทต่อหุ้นกว่า 27%) บวกกับการที่ PTT เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดและเป็น
หุ้นพื้นฐานดี ทำให้เราเชื่อว่าเม็ดเงินจาก LTF/ RMF จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทต่อเนื่องในช่วงนี้ ซึ่ง
จะช่วยหนุนราคาหุ้นได้

เพิ่ม TISCO เน้นถือลงทุน
TISCO เป็นธนาคารขนาดเล็กที่มีรูปแบบธุรกิจน่าสนใจ, การขยายตัวของสินเชื่อในรอบปีที่ผ่านมาสูง
ที่สุดในอุตสาหกรรม (+9.06% ytd จากต้นปีถึงเดือนพฤศจิกายน 2552) และมีการบริหารต้นทุนและค่าใช้
จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมี NIM อยู่ในระดับสูง (เพิ่มขึ้นจาก 3.81% ในไตรมาส 2/52 เป็น 5.02%
ในไตรมาส 3/52) ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ที่ดี มี NPL ratio ต่ำเพียง 2.6% เราคาดว่า
TISCO จะได้รับผลบวกเต็มที่มากขึ้นจากการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศตามการฟื้นตัวของภาวะ
เศรษฐกิจ โดยล่าสุดยอดขายรถยนต์ในประเทศในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดของปีที่ 57,031
คัน เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน ดังนั้นเราคาดว่า TISCO มีแนวโน้มรายงานตัวเลขสินเชื่อขยายตัวต่อเนื่องใน
เดือนธันวาคม และปี 2553 ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV ปี 2553 ที่ระดับ 1.27 เท่า และมี upside
จากราคาเป้าหมายของเราที่ 26.2 บาทอยู่ 6.9% ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเลือก TISCO เข้าพอร์ทเพื่อถือ
ลงทุน

เพิ่ม CPALL เน้นถือลงทุน
เราเลือก CPALL เข้าพอร์ทเพื่อถือลงทุนอีกครั้ง จากแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/52 ที่คาด
ว่าจะแข็งแกร่งต่อเนื่องโดยมีการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/51 ขณะที่นักวิเคราะห์ของเรามีการ
ปรับประมาณการกำไรปี 2553 ขึ้นเป็น 5,264 ล้านบาท เติบโต 11% yoy โดยได้แรงหนุนจากยอดขาย
ต่อสาขาที่เติบโตต่อเนื่อง และการเปิดสาขาใหม่ปีละ 400-450 สาขา นอกจากนี้การเน้นเพิ่มสัดส่วนสินค้า
ประเภทอาหารซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง (28.7% เทียบกับสินค้าที่ไม่ใช่อาหารที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 25%)
โดยเพิ่มขึ้นจาก 72.4% ในปีก่อนมาเป็น 72.6% ของยอดขายจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนอัตรากำไรของ
บริษัทด้วย ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 2553 ที่ 20.2 เท่า และมี upside 5.9% จากราคาเป้า
หมายของเราที่ 25 บาทต่อหุ้น

ขายทำกำไร QH และ SMT
ขายทำกำไร QH และ SMT หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา รอซื้อคืนเมื่ออ่อนตัว

ถอด RATCH ออกจากพอร์ทชั่วคราว
เราตัดสินใจถอด RATCH ออกจากพอร์ทชั่วคราว เนื่องจากระยะสั้นราคาหุ้นขาดปัจจัยกระตุ้น