Thursday 31 December 2009

ปี 2552 ยุคทอง การลงทุน กำเนิด 5 เซียนหุ้น แบบพลิกตำรารวย

ช่วงต้นเดือน มี.ค. SET Index ลงต่ำสุด 408.78จุด ก่อนจะวิ่งแรลลี่ 7 เดือนเต็มๆ ขึ้นไป 758 จุดกลายเป็น 'ปีทอง' ของนักลงทุน

"เสียป๋อง" วัชระ แก้วสว่าง
เซียนหุ้นเก็งกำไรรายใหญ่ระดับ "หลายร้อยล้านบาท" ผู้ให้คำนิยามตลาดหุ้นไทยว่า "ซึมนาน-คลานเป็นเต่า-เศร้าเป็นปี-สุขีประเดี๋ยวเดียว" จากประสบการณ์ที่เล่นหุ้นมานาน 17 ปี ได้ข้อสรุปว่า การถือเงินสด และมองโลกในแง่ร้ายบ้าง คือ กลยุทธ์ที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งสไตล์การลงทุนที่ดีที่สุด คือ ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ช่วงที่ต้องเล่นสั้นก็ต้องเล่นสั้น ช่วงที่ลงทุนระยะกลางได้ก็ต้องถือ เพราะตลาดหุ้นไทยช่วงเวลาแห่งความสุขมันมีน้อย ถ้าไม่ปรับตัวก็จะอยู่ยาก

ถ้าหุ้นขึ้นมาแล้ว 30% ก็ต้องมาดู "รูปทรงกราฟ" ว่าจะไปต่อไหวก็เล่นต่อแต่ซื้อปริมาณน้อยลง ใครก็เสียวทั้งนั้นแหละ!! ในตลาดหุ้นเราต้องถือคติว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า..บนสวรรค์ก็ไม่รู้มีตั้งกี่ชั้น ถ้าตอนหุ้นตกในนรกก็ไม่รู้มีกี่ขุม ไม่มีคำว่าถูกว่าแพงในตลาดหุ้น"

สิ่งสำคัญเลยคือเราต้องรู้ตัวหุ้น..รู้นิสัยหุ้น ต้องดูประวัติหุ้น ต้องรู้ว่าหุ้นตัวนี้ปีนี้มี Growth มั้ย! เราก็จะรู้แล้วว่าพื้นฐานหุ้นเป็นยังไง สุดท้ายก็ต้องมาดู "จุดซื้อด้านเทคนิค" จะช่วยให้ประหยัดเวลาเหมือนขึ้นรถเมล์ถูกสายไม่ต้องรอนาน ถ้าบรรยากาศตลาดไม่ดี ใช้รถถัง ใช้ปืนกล ก็ไม่คุ้ม สมมติว่าคนหนึ่งพกมีดมา คนหนึ่งพกปืนมา คนที่ใช้มีดเขาก็หากินได้ มันเหมือนกับเรามีเครื่องมือแค่ตัวใดตัวหนึ่งขอให้ใช้ให้เก่งก็หากินได้

วันนี้เสี่ยป๋องให้นิยามตัวเองว่าเป็น "นักเก็งกำไรหุ้นพื้นฐาน" ที่ส่วนใหญ่จะเล่นเก็งกำไรหุ้นบิ๊กแคป เขามีความเชื่อส่วนตัวว่าสุดท้ายแล้วคนเล่นหุ้น 100 คน จะแค่มี 20 คน ที่รอดตายจากตลาดหุ้น โดยคนที่ 1-5 จะรวยมหาศาล พวกนี้ไม่น่าห่วง ส่วนคนที่ 5-10 ก็จะรวยมาก ซึ่งตัวเองอาจอยู่อันดับ 8 (รวยมาก) ส่วนคนที่ 10-20 จะรวยแบบดูแลตัวเองได้ นอกจากนั้นอีก 80% ไม่เคยรอดพ้นน้ำมือตลาดหุ้น หากยังไม่รู้เทคนิคการเล่นหุ้นที่เหมาะสมกับตัวเอง

พิชัย จาวลา กรรมการบริหาร กลุ่มจาวลากรุ๊ป
นักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัย 42 ปี ที่มีฐานธุรกิจอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ชื่อนี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงตลาดหุ้น เขาไม่ใช่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหรือมีพอร์ตลงทุนเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท แต่พิชัยเป็น "นักคิด" ที่กล้านำเสนอความจริงที่แตกต่าง เขาเป็นเจ้าของผลงานหนังสือ "เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง" ขณะเดียวกันพิชัยยังมีบทบาทเป็นนักลงทุนรายย่อยที่มีพอร์ตลงทุนในระดับ 10-20 ล้านบาท

ทำไม! ตลาดหุ้นไทยถึงเป็น "หลุมฝังศพ" รายย่อยรุ่นแล้วรุ่นเล่า บทสรุปหนึ่งก็คือ ตลาดหุ้นไม่ใช่ Fair Game สำหรับคนส่วนใหญ่ "หมูสนาม" ส่วนใหญ่แท้จริงก็เป็น "เซียน" ในอาชีพของตัวเองกันมาทั้งนั้น

พิชัยเริ่มเข้าตลาดหุ้นมาตั้งแต่ปี 2532 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไปเล่นหุ้นตามข่าว เลยต้องย้อนกลับมาหา "เหตุ" ว่าทำไมถึงขาดทุน และเขาก็ได้ข้อสังเกตว่า "ผู้ชนะ" ในตลาดหุ้นจะเป็นเพียง "คนกลุ่มน้อย" เหมือนกับทฤษฎี 80:20 ที่บอกว่าคนส่วนน้อยเพียง 20% จะเป็นผู้ควบคุมผลประโยชน์ 80% เสมอ

"ทฤษฎีผลประโยชน์" ที่พิชัยคิดขึ้นหลักการตัดสินใจที่จะเข้าซื้อหรือขายหุ้นจะต่างจากคนทั่วไปที่ตัดสินใจจากข่าว, เหตุการณ์หรือบทวิเคราะห์ แต่ทฤษฎีผลประโยชน์เราจะต้องคิด "สองชั้น" คือฟังข่าวแล้ววิเคราะห์การตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ แล้วเลือกแทงฝั่ง “ตรงข้าม”

หลักการสำคัญอีกข้อหนึ่ง คนส่วนใหญ่มองตลาดหุ้นขึ้นลงตาม "เหตุผล" แท้ที่จริงแล้วเหตุผลเป็นเพียง "ข้ออ้าง" ความจริงคือตลาดหุ้นอยู่นอกเหนือเหตุผล ราคาต่างหากเป็นผู้กำหนดข่าว..ไม่ใช่ข่าวกำหนดราคา

"ลองคิดดูซิ! ถ้าไม่มีคนมาคอยรับซื้อหุ้น คุณจะขายหุ้นออกไปได้อย่างไร ในขณะที่คนส่วนใหญ่ขายหุ้นอาจจะมีคนส่วนหนึ่งเข้าไปช้อนซื้อของถูก ซึ่งคนกลุ่มนี้ในที่สุดจะได้กำไรและคนส่วนใหญ่ที่แห่ขายจะขาดทุน"

เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำกำไรจากตลาดหุ้นคุณจะต้องเป็นคนส่วนน้อยของตลาดที่ต้องคิดต่างไปจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักบอกว่าลงทุนด้วยเหตุผล เราก็ต้องลงทุนโดยไม่ใช้เหตุผลเหมือนคนส่วนใหญ่

"ผมคิดว่าสูตรการทำธุรกิจกับลงทุนหุ้นให้สำเร็จมีความใกล้เคียงกันคือต้องพิจารณาจาก “ตัวเล่น” และ “จังหวะเวลา” การทำธุรกิจต้องการเหตุผลมากกว่าและมีโอกาสเติบโตเอาชนะเศรษฐกิจได้โดยปัจจัยเรื่องของเวลาเป็นเรื่องรอง แต่ตลาดหุ้นคุณต้องเลือกให้ถูกทั้ง "ตัวหุ้น" และ "จังหวะเวลา" ซึ่งบ่อยครั้งตลาดหุ้นมักใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล"

พิชัยเสริมว่าแนวคิดนี้ใกล้เคียงกับการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่บอกว่า การเก็งกำไรจากตลาดหุ้นทำได้ยากมาก วิธีการทำกำไรที่ดีที่สุดคือการค้นหาหุ้นคุณค่าที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงแล้วถือให้ยาว และไม่แห่ลงทุนตามกระแส ซึ่งบทสรุปของวิธีคิดนี้คือ จงกล้าในขณะที่คนส่วนใหญ่กลัวและจงกลัวในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังกล้า

ทวีฉัตร จุฬางกูร
ส่วนเซียนหุ้นรายนี้เป็นหลานชาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเป็นทายาท สรรเสริญ จุฬางกูร เจ้าของอาณาจักรธุรกิจหมื่นล้าน "ซัมมิทกรุ๊ป" ที่สำคัญทวีฉัตรเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้น "หลายพันล้านบาท" ปัจจุบันเขามีอายุเพียง 37 ปี และวันนี้เจ้าตัวขอ "โกอินเตอร์" เทรดหุ้นข้ามชาติถึง 3 ประเทศที่สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์

จากการสำรวจพอร์ตลงทุนของทวีฉัตรในปี 2552 พบว่า มีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 20 บริษัท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 2,300 ล้านบาท ขณะที่เจ้าตัวบอกเองว่ามีหุ้นอยู่ทั้งหมดประมาณ 50 บริษัท แต่แอ็คทีฟแค่ 10 บริษัท

ทวีฉัตร บอกว่า ปีนี้ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุน "เทรดหุ้นน้อยลง และถือยาวมากขึ้น" ทำให้มีกำไรจากการลงทุนมากกว่าปีก่อน ส่วนหนึ่งเพราะกังวลเรื่องการเมือง และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี นอกจากนี้ยังหันไปซื้อขายหุ้นในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนดีที่สุด และไม่มีเรื่องการเมืองให้ต้องกังวลใจ ตรงกันข้ามตลาดหุ้นบ้านเรามีความเสี่ยงสูงเกือบทุกเรื่อง

เขาเล่าว่า หุ้นส่วนใหญ่ที่ลงทุนในต่างประเทศอยู่ในกลุ่มรถยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ กลุ่มอาหาร และกลุ่มเสื้อผ้า ส่วนตัวมองว่าเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวหุ้นเหล่านี้จะมาก่อนเพื่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังจะฟื้นตัวในไม่ช้านี้ ส่วนการลงทุนที่ผ่านมาไม่ได้ให้น้ำหนักที่หุ้นพี/อีต่ำ หรือหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี แต่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้าใจในธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ทวีฉัตรยังบอกด้วยว่า ส่วนตัวเป็นแฟนพันธุ์แท้หุ้น "เทิร์นอะราวด์" ส่วนหลักการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้แตกต่างไปจากนักลงทุนทั่วไปวิเคราะห์หุ้น ประการแรก ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์และมีนโยบายในการบริหารงานที่ดี มีประวัติน่าเชื่อถือและมีความโปร่งใส ประการต่อมา พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่สนใจว่าแข็งแกร่งมากขนาดไหน และประการสุดท้าย จะดูกราฟทางเทคนิคในการลงทุน แต่การดูกราฟทางเทคนิคจะทำกับหุ้นบางตัวเท่านั้น เพราะไม่ถนัดที่จะทำแบบนี้กับหุ้นทุกตัว

ส่วนการจัดน้ำหนักพอร์ตลงทุนขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจ และสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า ไม่เคยกำหนดเป็นหลักการ และก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องมีกำไรเท่าไรถึงจะ "ขาย" ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น

"บางครั้งได้กำไรแค่ 10% ผมก็ "โกย" แล้ว เรื่องพวกนี้บอก (สอน) กันไม่ได้จริงๆ ทุกคนก็มีเทคนิคการลงทุนเป็นของตัวเอง..วันนี้ผมค่อนข้างกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจ เพราะตอนนี้ต่างประเทศเขาแก้ปัญหากันไปหมดแล้ว บ้านเรายังไปไม่ถึงไหนเลย"

"เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล
ท่ามกลางวิกฤติ เสี่ยปู่กลับมองเป็นโอกาสสำคัญเข้าสะสมหุ้น "ราคาถูก" สร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นได้ทุกครั้ง

ปัจจุบันเสี่ยปู่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับ "พันล้านบาท" ที่ร่ำรวยมาจากเงินทุนประเดิมไม่ถึง 1 ล้านบาท เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว วันนี้เสี่ยปู่เลือกเส้นทางเดินในฐานะ "แวลู อินเวสเตอร์" ตามรอย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาลงทุนอ่านหนังสือของบัฟเฟตต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็น 10 รอบ

สำหรับวิกฤติในปี 2551-2552 เสี่ยปู่ซุ่มเก็บหุ้นราคาถูกไว้จำนวนมาก โดยยังโฟกัสไปที่หุ้น "เทิร์นอะราวด์" บริษัทขนาดกลาง และบริษัทขนาดใหญ่ที่ปัจจัยพื้นฐานดี

"วิกฤติซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา และวิกฤติการเงินโลก อาจทำให้นักลงทุนหลายคนกลัว แต่สำหรับผมมันคือโอกาสการทำกำไรครั้งสำคัญ" เสี่ยปู่บอก และสิ่งที่เขามองต่างออกไปจากนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มักยึดตัว SET Index เป็นตัวตั้ง และรีบขายหุ้นทำกำไรเพราะคิดว่า..เดี๋ยวหุ้นก็ลง

แต่วิกฤติหลายครั้งในตลาดหุ้นสอนเสี่ยปู่ว่า หลังวิกฤติต้อง "ถือรอ" จนกว่าราคาหุ้นนั้นจะสะท้อนการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากต้องเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่กำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" โดยพิจารณาจากหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า Book Value และให้ผลตอบแทน เงินปันผลสูง

เสี่ยปู่บอกว่า การซื้อหุ้นจะมีหลักพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ

1. ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษคือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน

"ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"

2. ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่า Book Value ถ้าบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ

3. จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีบริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเท่าใด

"ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"

เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจับจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูลถึงจะรวยได้


"เซียนนิค" สง่า ตั้งจันสิริ
สำหรับเซียนหุ้นคนสุดท้าย ที่เริ่มลงหุ้นจากเงินก้อนแรก 500,000 บาท เล่นหุ้น 4 ปี วันนี้เขามีพอร์ตแล้ว 50 ล้านบาท ชายหนุ่มวัย 32 "โนเนม" แต่ไม่ "โนวิชั่น" เขาเป็นหลานชาย ไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการ และผู้ก่อตั้ง บมจ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ ทียูเอฟ บริษัทผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก

เคล็ดลับห้าข้อที่สง่าใช้ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จก็คือ 1. ต้องกระจายความเสี่ยง 2. รู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว 3. Cut Loss เป็น..อย่าดื้อ 4. เมื่อถึงเป้าหมายต้องพอ และ 5. ต้องมีเงินสดติดกระเป๋าไว้เสมอ

วิธีการลงทุนของเซียนหุ้นรายนี้ เขาจะแบ่งพอร์ตลงทุนออกเป็น "สามส่วน" คือ สั้น-กลาง-ยาว ถ้าเป็นหุ้นบลูชิพชั้นดี "เกรดเอ" ถ้าถือต้นทุนต่ำก็จะถือยาว 2-3 ปี โดยจะดูที่ Dividend Yield ถ้าอยู่ประมาณ 5-6% ก็จะถือไว้กินปันผล

ส่วนพอร์ต "ระยะกลาง" จะเน้นหุ้นกลุ่มแบงก์กับอสังหาริมทรัพย์ ถ้าเป็นพอร์ต "ระยะสั้น" ก็จะเน้นเล่นหุ้นหวือหวาโดยจะ "เล่นตามข่าว" ในกลุ่มหุ้นที่มี "สตอรี่" ถ้าเล่นสั้นจะไม่ถือนาน แต่บางครั้งจะสลับตัวเล่น "กลาง-สั้น" ตามความเหมาะสม

สิ่งที่เซียนหุ้นรายนี้ต้องท่องเป็นประจำคือ "อย่าโลภมาก" และหุ้นทุกตัวที่เข้าไปลงทุนจะต้องตั้ง "เป้าหมายกำไร" เมื่อถึงเป้าก็ต้องขายโดยปกติจะตั้งไว้ที่ 20% และตั้งจุด Stop Loss (หยุดขาดทุน) ไว้ที่ลง 10% ต้องตัดขายทันที

เซียนนิคให้แง่คิดว่า จากประสบการณ์ถ้าอยากได้กำไรเยอะๆ ต้องเล่นหุ้นขนาดกลางหรือเล็กที่ "พื้นฐานดี" และธุรกิจกำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" แต่ราคาหุ้นยังต่ำ หุ้นพวกนี้เวลาขึ้นมีโอกาสได้กำไรเกิน 20% ในเวลาไม่นาน แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสแบบนี้ไม่บ่อย เขาย้ำว่า การลงทุนในตลาดหุ้นคือการอยู่กับอนาคต อย่าดูแต่ปัจจุบัน ต้องมองไปข้างหน้าเสมอ

ที่สำคัญในตลาดหุ้นอะไรก็ไม่แน่นอน ต้องมี "เงินสดติดกระเป๋า" ไว้ตลอดเวลา ถ้ามีเงิน 100 บาท ส่วนตัวจะต้องเก็บเงินสดไว้ 40% เสมอ เพราะโอกาสซื้อ “ของถูก” ไม่ได้มีมาบ่อยๆ โดยเขายกสัจธรรมที่สุดแสนจะเบสิคแต่ใช้ได้ดีเสมอว่า “จงเข้าซื้อเมื่อหุ้นตก และจงขายเมื่อหุ้นขึ้น”

ส่วนหลักการจำกัดความเสี่ยง ง่ายๆ คือ อย่าไปลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้ หรือรู้น้อยกว่าคนอื่น จะต้องรู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ เพราะข้อจำกัดของตลาดหุ้นไทยคือ ตลาดเล็กและคนมีเงินเยอะๆ สามารถคุมตลาดได้ ส่วนเราคุมตลาดไม่ได้ถ้ารู้ทีหลังค่อนข้างเสียเปรียบ

"ผมมองว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ใจไม่เย็นพอ และบางคนเอาเงินร้อนมาเล่นแต่ผมจะใช้เงินเย็นมาลงทุน และไม่เคยซี้ซั้วจะค่อยๆ ดูทีละตัว"

สง่าสรุปปิดท้ายว่า ขาดทุนต้องรับกับมันได้ ถ้ากำไรอย่าดีใจกับมันมาก เห็นหุ้นวิ่งอย่าแหกกฎของตัวเอง เหมือนกฎหมายถ้าใครไม่ทำตามมันก็มีบทลงโทษรออยู่ ถ้าคิดว่าทำตามไม่ได้ก็อย่าตั้งกฎให้ตัวเอง

Wednesday 30 December 2009

20091230_วิเคราะห์ตลาดบ่าย ร่วงสิบจุด ซื้อสวนได้ตังเที่ยวปีใหม่แหงๆ


วิเคราะห์ภาคบ่าย สะใจคนเล่นแบบ Crisis watch

ไม่มีปัจจัยหนุนหรือปัจจัยลบใดๆทั้งสิ้น ปัจจัยจากตลาดสหรัฐส่งผลราคา TFEX รอบเช้าไปแล้วตกลงมาสองจุด
ช่วงบ่ายเริ่มมีแรงเทขายตั้งแต่เวลา 14.45 คาดว่าเนื่องจากนักลงทุนไม่อยากถือยาวข้ามปีเพราะไม่มั่นใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างวันหยุด (ผมมองว่ามันก้อไม่ต่างจากหยุดเสาร์อาทิตย์หรอกนะ) เทขายแรงพุ่งลงเกือบสิบจุด งานนี้ได้ชอปของถูก ผมเลยอัดซะเต็มปอดเลย อิอิอิ เดี่ยวอาทิดหน้าได้ตังเที่ยวปีใหม่แหงๆ

จุดตัดสินใจของผมว่ามันเป็น panic sell
RSI ต่ำกว่า 30 ,
ไม่มีปัจจัยที่ส่งผลกะทบให้หุ้นตก,
หุ้นตกลงมาประมาณ 10 จุดตามแนว Boiling Boundary แล้วคงที่หลุดออกมาจากแนวแปลว่ามีแรงต้าน

เมื่อพิจารณาได้ประมาณนี้ซื้อไปเหอะ ได้ตัง ผมยังอัดเต็มปอดเลย

20091230_BLS กลยุทธการลงทุน Set50 Futures

BLS มองบ่ายนี้ SET50 Futures มีลุ้นรีบาวน์ รับ window Dressing เฮือก
สุดท้ายก่อนสิ้นปี มองภาพรวมปีหน้าตลาดสดใสรับ ศก.โลกฟื้นตัว แนะเก็งกำไร ให้
แนวรับในสัญญา H10 ไว้ที่ 520 จุด แนวต้าน 530 จุด

นายคมสันต์ ปรมาภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.
บัวหลวง หรือ BLS เปิดเผยถึงการซื้อขายสินค้า SET50 Futures ในตลาดอนุพันธ์
แห่งประเทศไทย (TFEX) วันนี้ว่า ดัชนี SET50 Futures ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ตาม
แรงขายทำกำไรของนักลงทุนรายย่อยน ที่เริ่มปิดสถานะออกจากตลาดเพื่อลดความ
เสี่ยงในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงในสุดสัปดาห์นี้
ประกอบกับภาพรวมตลาดทุนต่างประเทศยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ไม่จูง
ใจให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายในช่วงนี้ โดยดัชนีดาวโจนส์วานนี้ ปิดลบ 1.67 จุด ปิดที่
ระดับ 10,545.41 เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 10
เซนต์ ไปปิดที่ระดับ 78.87 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
ด้านปัจจัยในประเทศแม้ว่าวานนี้จะมีข่าวดี เรื่องความคืบหน้าที่คณะรัฐมนตรี
เห็นชอบเกณฑ์ ในการออกกฏระเบียบในการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวด
ล้อม(EIA) และผลกระทบด้านสุขภาพ(HIA) แต่นักลงทุนก็ตอบสนองข่าวดังกล่าวไป
ตั้งแต่วานนี้แล้ว จึงไม่น่าเป็นประเด็นสำคัญต่อการลงทุนในวันนี้แต่อย่างใด
สำหรับในช่วงบ่ายคาดว่าดัชนี SET50 Futures มีแนวโน้มที่จะรีบาวน์ขึ้นได้
ในระยะสั้น เนื่องจากจะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาสนับสนุนอีกระลอก จากประเด็นเรื่อง
การปิดงวดบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ Window Dressing
นอกจากนี้หากพิจารณาจากปัจจัยในระยะยาว เชื่อว่าในช่วงต้นปี 2553 จะ
ยังมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์จากความมั่นใจถึงภาพรวมเศรษฐกิจ
โลกที่ฟื้นตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2552
โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เก็งกำไร ในสัญญา S50H10 เดือน
มีนาคม 2553 โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 520 จุด แนวต้าน 530 จุด ด้าน SET50
ประเมินแนวรับไว้ที่ 520 จุด แนวต้าน 530 จุดเช่นเดียวกัน

20091230_วิเคราะห์ตลาดภาคเช้า


ดัชนี S50Z09 ปิดตลาดภาคเช้า 521.8
การวิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฟ้องว่าดัชนีดาวน์โจนส์ปัจจุบันไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนการเติบโตของอุตสาหกรรมประเทศ ในปี 53 อาจเกิดวิกฤติฟองสบู่ครั้งใหม่ได้ จึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลบเล็กน้อย และดัชนีเอเซียเปิดตลาดแดนลบ
แต่เนื่องจาก การลงทุนในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและการดันตลาดจากกลุ่มธนาคารและพลังงาน ทำให้ตลาดในประเทศไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เห็นได้จากเปิดตลาด ประมาณลบห้าจุด และมีแรงดีดตัวทางเทคนิกขึ้นมาทันที แสดงว่านักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นอยู่ ซึ่งตลอดภาคเช้า ดัชนีทรงตัวอยู่ประมาณ 523 และมีและมีแนวโน้มทรงตัวตลอดทั้งวันอยู่ในกรอบ 521-525

กลยุทธการลงทุน TFEX S50Z09
- Day Trader: ให้ตั้งซื้อเมื่อดัชนีตกลงมาประมาณ 521 และตั้งขายเมื่อดัชนีขึ้นถึงประมาณ 524.75
- Long-term invester: แนวโน้มตลาดยังเป็นขาขึ้น ให้หาจุดซื้อเมื่อ ค่า RSI ตกถึงประมาณ 40

Monday 28 December 2009

Invester Strategy

กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบขาขึ้น ด้วยปริมาณการซื้อขายยังคงเบาบาง
เนื่องจากมีวันทำการเพียง 3 วัน โดยตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจาก แรงซื้อจากสถาบัน
ภายในประเทศ, กระแสข่าวการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ, การคาดการณ์การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยในปี 53
ตลอดจนการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยภาพรวมกลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เน้นกระจายการลงทุนใน
หุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการโดดเด่น และสอดคล้องกับปัจจัยบวกข้างต้น ได้แก่ HANA (กลุ่มอิเล็คทรอ
นิคส์), TASCO (กลุ่มวัสดุก่อสร้าง), CPALL (กลุ่มพาณิชย์), TISCO (กลุ่มธนาคารพาณิชย์) และ PTT
(กลุ่มพลังงาน)

พอร์ทการลงทุน
* ถือเงินสด 30%, หุ้น 70%
* แบ่งพอร์ทหุ้น(70%) ออกเป็น Buy and Hold 100%
* เพิ่ม PTT, TISCO, และ CPALL เข้าพอร์ท, ถือ HANA และ TASCO, ขายทำกำไร QH และ
SMT, ถอด RATCH ออกจากพอร์ทชั่วคราว
o เพิ่ม PTT เน้นถือลงทุน จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว และแรงซื้อของสถาบันภายในประเทศ
ที่มีแนวโน้มส่งผลบวกต่อราคาหุ้นในช่วงสั้น
o เพิ่ม TISCO เน้นถือลงทุน จากแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง และธุรกิจสินเชื่อเช่า
ซื้อรถยนต์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามทิศทางยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ
o เพิ่ม CPALL เน้นถือลงทุน แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/52 ขยายตัวต่อเนื่อง จากการ
เพิ่มสาขาและอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้าประเภทอาหาร
o ถือ HANA จากยอดคำสั่งซื้อจากสหรัฐฯที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มผล
ประกอบการไตรมาส 4/52 มีแนวโน้มโดดเด่นต่อเนื่อง
o ถือ TASCO เน้นถือลงทุน จากแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/52 ที่เติบโตโดดเด่น จากโรงกลั่นยาง
มะตอยในมาเลเซียและโครงการถนนไร้ฝุ่น
o ขายทำกำไร QH และ SMT หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา รอซื้อคืนเมื่ออ่อนตัว
o ถอด RATCH ออกจากพอร์ทชั่วคราว เนื่องจากระยะสั้นราคาหุ้นขาดปัจจัยกระตุ้น

Stock and Portfolio Idea

เพิ่ม PTT เน้นถือลงทุน
เราเลือก PTT เข้าพอร์ทเพื่อถือลงทุนอีกครั้ง เนื่องจากคาดว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มฟื้นตัวตามราคา
น้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.4% wow เป็น 78.05 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่นัก
วิเคราะห์กลุ่มพลังงานของเราคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 15% จาก 65 เหรียญ/
บาร์เรลในปีนี้เป็น 75 เหรียญ/บาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และผล
กำไรให้กับบริษัท ขณะเดียวกันราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากว่า 20% (ทำต่ำสุดที่ 218 บาท) ในช่วง 2 เดือนที่
ผ่านมาได้ตอบรับกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปมากแล้ว และคาดว่าปัจจัยเสี่ยงต่างๆจะคลี่คลายไปในทางที่ดีในปี
หน้า ดังนั้นเราจึงเห็นว่าราคาหุ้นในช่วงนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนที่ดีโดยมีความเสี่ยงขาลงที่จำกัด (มี upside
จากราคาเป้าหมายที่ 306 บาทต่อหุ้นกว่า 27%) บวกกับการที่ PTT เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดและเป็น
หุ้นพื้นฐานดี ทำให้เราเชื่อว่าเม็ดเงินจาก LTF/ RMF จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทต่อเนื่องในช่วงนี้ ซึ่ง
จะช่วยหนุนราคาหุ้นได้

เพิ่ม TISCO เน้นถือลงทุน
TISCO เป็นธนาคารขนาดเล็กที่มีรูปแบบธุรกิจน่าสนใจ, การขยายตัวของสินเชื่อในรอบปีที่ผ่านมาสูง
ที่สุดในอุตสาหกรรม (+9.06% ytd จากต้นปีถึงเดือนพฤศจิกายน 2552) และมีการบริหารต้นทุนและค่าใช้
จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมี NIM อยู่ในระดับสูง (เพิ่มขึ้นจาก 3.81% ในไตรมาส 2/52 เป็น 5.02%
ในไตรมาส 3/52) ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ที่ดี มี NPL ratio ต่ำเพียง 2.6% เราคาดว่า
TISCO จะได้รับผลบวกเต็มที่มากขึ้นจากการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศตามการฟื้นตัวของภาวะ
เศรษฐกิจ โดยล่าสุดยอดขายรถยนต์ในประเทศในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดของปีที่ 57,031
คัน เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน ดังนั้นเราคาดว่า TISCO มีแนวโน้มรายงานตัวเลขสินเชื่อขยายตัวต่อเนื่องใน
เดือนธันวาคม และปี 2553 ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV ปี 2553 ที่ระดับ 1.27 เท่า และมี upside
จากราคาเป้าหมายของเราที่ 26.2 บาทอยู่ 6.9% ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเลือก TISCO เข้าพอร์ทเพื่อถือ
ลงทุน

เพิ่ม CPALL เน้นถือลงทุน
เราเลือก CPALL เข้าพอร์ทเพื่อถือลงทุนอีกครั้ง จากแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/52 ที่คาด
ว่าจะแข็งแกร่งต่อเนื่องโดยมีการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/51 ขณะที่นักวิเคราะห์ของเรามีการ
ปรับประมาณการกำไรปี 2553 ขึ้นเป็น 5,264 ล้านบาท เติบโต 11% yoy โดยได้แรงหนุนจากยอดขาย
ต่อสาขาที่เติบโตต่อเนื่อง และการเปิดสาขาใหม่ปีละ 400-450 สาขา นอกจากนี้การเน้นเพิ่มสัดส่วนสินค้า
ประเภทอาหารซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง (28.7% เทียบกับสินค้าที่ไม่ใช่อาหารที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 25%)
โดยเพิ่มขึ้นจาก 72.4% ในปีก่อนมาเป็น 72.6% ของยอดขายจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนอัตรากำไรของ
บริษัทด้วย ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 2553 ที่ 20.2 เท่า และมี upside 5.9% จากราคาเป้า
หมายของเราที่ 25 บาทต่อหุ้น

ขายทำกำไร QH และ SMT
ขายทำกำไร QH และ SMT หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา รอซื้อคืนเมื่ออ่อนตัว

ถอด RATCH ออกจากพอร์ทชั่วคราว
เราตัดสินใจถอด RATCH ออกจากพอร์ทชั่วคราว เนื่องจากระยะสั้นราคาหุ้นขาดปัจจัยกระตุ้น



World Watch